วันศุกร์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐


Your angel is always with you.
.................
Blessed be!!!

วันพฤหัสบดีที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐

ขอเรียนเชิญเพื่อนพี่น้องชาวwiccanityและผู้ศึกษาศาสตร์อื่นๆทุกท่าน...


ขอเรียนเชิญเพื่อนพี่น้องชาวwiccanity ผู้ศึกษาศาสตร์อื่นๆ และผู้สนใจศาสตร์ทุกท่าน เพื่อเป็นเกียรติ และเป็นสักขีพยาน ในพิธีการมอบนามอันเป็นมงคลแก่สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของร้านของข้าพเจ้า ในวันอังคารที่ 20 มีนาคม พุทธศักราช 2550 เวลา 15.15 น.โดยประมาณ อันเป็นเวลามงคลยิ่ง เนื่องจาก ถือเป็นวัน Ostara หรือ Spring Equinox ซึ่งเป็น Sabbat ที่สำคัญอีกวันหนึ่ง ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ :

วันอังคารที่ 20 มีนาคม ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 5 ( Waxing Moon : First Quarter )
พุทธศักราช 2550 คริสตศักราช 2007 จุลศักราช 1368
ปีจอ อัฐศก ปกติมาส ปกติวาร ปกติสุรทิน
Sun Sign : Pisces (Sun enters Aries 8.07 pm.)
Moon Sign : Aries
Color : Red
Incense : Cedar
Special : Ostara (Eostre)

รายละเอียดสัตว์เลี้ยง : เป็นกระต่ายเพศเมีย พันธุ์ผสม อายุประมาณ 4 เดือน (นับอายุถึงวันทำพิธี) ลำตัวมีขนสีน้ำตาล ที่ท้องมีขนสีเทา ลักษณะพิเศษคือ หูตกข้างหนึ่งและตั้งข้างหนึ่ง ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จาก
ร้านกระต่าย Bunny Paradiso (สวนลุมไนท์บาซ่า)
ชื่อที่เตรียมมอบได้แก่ Eostre ซึ่งเป็นชื่อของ Sabbat นี้ (วันอีสเตอร์นั่นเอง) และเป็นชื่อของ Goddess ท่านหนึ่งของชาวไอริชและเคลต์ ถือเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ประจำฤดูใบไม้ผลิ มีสัญลักษณ์เป็นกระต่าย

น้องเอสตร้าเกิดในคืนวันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นคืนคริสต์มาสอีฟ
(หลังวันYule Sabbat หรือ Winter Solstic 2 วัน)
Moon quarter : 1st (waxing)
Moon sign : Aquarius
Sun sign : Capricorn
Colour : White
Crystal : Red Jasper
Herb or Incense : Ginger

At this time, I believe that Eostre, the rabbit, is the present from Herne the Hunter!!!

วันศุกร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐

The Zee Energy: พลังแห่งชีวิต


The Zee Energy: พลังแห่งชีวิต

ชาวโรมาเนียแต่โบราณ มีความเชื่อเกี่ยวกับพลังชีวิต ว่าเป็นพลังงานของพระเจ้าองค์แรกในยุคดึกดำบรรพ์ ผู้ทรงแยกกลางวันกลางคืนและสร้างฤดูกาล พลังนี้ มีชื่อเรียกเป็นภาษาโรมาเนียนว่า “Mi Douvals Zee” หมายความว่า หัวใจแห่งพระเจ้า หรือ ชีวิตแห่งพระเจ้า (The heart, or the life of god) แต่โดยทั่วไปมักเรียกเพียง Zee หรือ ซี มนุษย์ทุกคนจะมีพลังเหล่านี้ซึมซาบอยู่ในทุกอนุภาคของร่างกาย โดยเฉพาะจะรวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นในเส้นเลือดดำ และเส้นชีพจร รอวันที่จะถูกปลุกขึ้นมาใช้งาน การฝึกฝนจะช่วยให้ได้รับพลังงานเหล่านี้จากธรรมชาติมากขึ้น และสามารถนำพลังออกมาใช้ได้ พลังซีนี้ ถือเป็นหลักการเดียวกันกับพลังชีวิตอื่นๆที่มีชื่อเรียกต่างๆกันไปในแต่ละอาณาเขต เช่น Chi (พลังชีวิต), Prana (พลังปราณ), Viril (พลังทางเพศ หรือพลังแห่งการให้กำเนิด), Telluric energy (พลังแห่งฐานพิภพ) , Earth energy (พลังแห่งโลก) ฯลฯ การฝึกพลังแบบนี้ แบ่งออกเป็นสองขั้นตอนหลักๆดังนี้ครับ


The Zee Energy # 1:The First Step of Zee
พลังแห่งชีวิตขั้นที่ 1 : ก้าวแรกแห่งพลังชีวิต

ก้าวแรกแห่งการมุ่งสู่การฝึกฝนปฏิบัติเพื่อใช้พลังต่างๆนั้น คือการตระหนัก รับรู้ และยอมรับการมีอยู่ของพลังประเภทนั้นๆ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก และยังประโยชน์ให้แก่ผู้ฝึกมากกว่าที่คิด แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักลืมเลือนไป เนื่องจาก มักคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการฝึก และจุดมุ่งหมายของการฝึกจนเกินไปนั่นเอง แต่หากผู้ใดได้ตระหนักและยอมรับการมีอยู่ของพลังนั้นๆแล้ว ผู้นั้นก็จะเข้าถึงวิถีแห่งการใช้พลังอย่างสมบูรณ์ นั่นคือ การผ่อนคลาย (Relaxation)

ชาวยิปซีส่วนใหญ่ทำงานหนักมาก (หมายถึงงานทางโลก) แต่เมื่อมีโอกาส พวกเขากลับสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่ ไม่มีติดขัด เนื่องเพราะพวกเขาได้ตระหนักถึงการคงอยู่ของพลังชีวิตในตัวและพลังชีวิตจากธรรมชาติรอบด้านมาหลายชั่วอายุคน และพวกเขายอมรับพลังดังกล่าวอย่างเต็มที่นั่นเอง
หากคุณคาดหวังว่า เนื้อหาต่อไปนี้จะเป็นการสอนให้คุณรู้จักใช้พลังเวทย์ หรือเป็นการทำให้คุณมีเวทมนต์แล้วล่ะก็ หยุดอ่านแค่ย่อหน้านี้เถอะครับ เพื่อไม่ต้องเป็นการเสียเวลาการค้นหาพลังเวทของคุณ เพราะเนื้อหาในบทความชิ้นนี้ เป็นแค่ผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่จากจิตใต้สำนึก ที่ผู้ปฏิบัติจะได้รับ เมื่อได้นั่งปฏิบัติอย่างสงบเพียงสิบหรือยี่สิบนาที ผ่อนคลายทุกส่วนสัด โดยปราศจากการรบกวนจากสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น การจราจร ชีวิตประจำวัน หรือ โทรทัศน์




The Zee Energy # 2: Quietening the Mind
พลังชีวิตขั้นที่ 2 : การสงบจิตใจ

ในขั้นนี้ จะเริ่มเป็นขั้นตอนแห่งการฝึกฝน มิใช่พื้นฐานทางจิตใจดังเช่นขั้นแรกอีก ดังนั้น จะเขียนแยกเป็นข้อๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และสามารถทำตามได้โดยไม่ข้ามขั้น


1. สถานที่ที่เป็นธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญ – หาที่ไหนสักแห่ง ที่คุณจะรู้สึกสบาย และผ่อนคลายเมื่อได้ไปอยู่ ณ ที่นั้น ที่ซึ่งกายและจิตของคุณได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี สถานที่ๆเหมาะต่อการปฏิบัติที่สุดมิใช่ภายในอาคาร แต่ควรเป็นสถานที่สักแห่งภายนอก จะดีมากหากเราสามารถนอนบนพื้นหญ้านุ่มๆ หรือนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ หรือหินก้อนใหญ่ ปูผ้าหรือเบาะนุ่มๆที่นั่งสบายลงไป เพื่อให้เราสามารถนั่งได้อย่างสบายที่สุดเป็นระยะเวลานานๆ และมั่นใจว่าจะต้องไม่มีใครหรือสิ่งใดจากโลกภายนอกมารบกวนเรา ณ ที่แห่งนั้น

2. ในห้องส่วนตัวก็ไม่ใช่จะใช้ไม่ได้ – หากเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้สถานที่ในธรรมชาติ เช่น อยู่ในเมืองใหญ่ หรือมีอันตรายข้างนอก หรือสะดวกสบายมากกว่า หากจะปฏิบัติในอาคาร ห้องที่เลือกนั้น ควรมีแสงจากธรรมชาติเข้ามาได้บ้าง และมีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป ควรปลูกพืชในห้องนั้นบ้าง ให้เลือกพรรณไม้ที่คุณชอบและเป็นต้นไม้ที่เจริญเติบโตค่อนข้างสมบูรณ์ ควรเป็นห้องที่สงบ คุณสามารถอยู่ได้นานๆโดยไม่ถูกรบกวนจากเสียงต่างๆในชีวิตคนเมือง เช่น เสียงโทรศัพท์ เสียงจากการจราจร เสียงวิทยุ ทีวี ฯลฯ (เสียงนก เสียงลม เสียงน้ำไม่เป็นไร) ที่สำคัญคือต้องเป็นห้องที่ต้อนรับคุณ (คุณจะรู้สึกได้เองว่าห้องนั้นต้อนรับหรือไม่จากความรู้สึกชอบหรืออึดอัด) คืออยู่แล้วรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากๆ (ไม่เว้นแม้แต่ห้องนอน เพราะคนส่วนใหญ่ฝึกแล้วมักจะหลับไปในช่วงที่สองนี้) ไม่ควรใช้แสงจากไฟฟ้า แต่คุณสามารถจุดเทียนได้ตามต้องการ และอาจจุดกำยาน หรือธูปหรือน้ำมันหอมได้เช่นกัน ซึ่งควรเลือกกลิ่นที่ชอบและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย คุณสามารถเปิดเพลงเบาๆได้ถ้ามันจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ง่ายและดีขึ้น แต่ต้องเปิดเบาๆแค่พอได้ยินผ่านๆนะครับ และควรเป็นเพลงสำหรับทำสมาธิ หรือสำหรับการผ่อนคลาย หรือบำบัด (อย่างที่ตามสปาชอบใช้)

3. กายสบายจิตก็สบาย – คุณสามารถนั่งหรือนอนฝึกก็ได้ หากจะนั่งพื้น ควรมีเบาะนุ่มๆรองรับและมีที่พิง สามารถเหยียดแขนเหยียดขาได้ตามสบาย หรือถ้าจะนั่งเก้าอี้ ควรเป็นโซฟานุ่มๆที่มีพนักพิง และที่เท้าแขน รวมถึงมีเก้าอี้นุ่มๆสำหรับพาดขาด้วย แต่ท่าที่ผมแนะนำคือท่านอน ให้คุณนอนหงายบนฟูกหรือเบาะที่สบายที่สุด จะหนุนหมอนหรือไม่ก็ได้ตามสบาย (เอาที่สบายที่สุด เพราะการฝึกแบบนี้ไม่ใช่การบำเพ็ญทุกรกิริยา) วางแขนไว้ข้างตัว เหยียดขาตรงโดยแยกขาเล็กน้อยพอสบาย ปล่อยและผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย เราจะรู้สึกได้เองว่าเราเกร็งส่วนใดอยู่หรือไม่ ให้คลายให้หมด (ไม่ต้องห่วงว่าจะตกหรือล้ม เพราะเรานอนอยู่แล้ว มันไม่มีทางล้มไปกว่านี้หรอกครับ) เสื้อผ้าที่ใส่ก็พยายามเลือกที่หลวมๆและเป็นผ้าที่ใส่แล้วไม่เกิดความรำคาญ (จะไม่ใส่เลยก็ได้หากมันจะทำให้คุณรู้สึกสบายมากขึ้นไปอีก เพราะเราอยู่คนเดียวอยู่แล้ว)

4. จิตว่างไม่จำเป็นสำหรับการฝึกพลังชีวิต – หลังจากคุณอยู่ในท่าที่สบายที่สุดแล้ว ให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างช้าๆและปล่อยออกยาวๆอย่างช้าๆเช่นกัน (หลังจากนี้ ทุกๆสิ่งที่คุณจะทำ จะทำอย่างช้าๆทั้งหมด ยิ่งช้ายิ่งดี) หายใจเข้าและออกอย่างนี้จนกว่าคุณจะรู้สึกว่าเพียงพอ ไม่ต้องห่วงว่าจะเร็วหรือนานกว่าจะพอ แค่ทำไปเรื่อยๆ เวลาเป็นของคุณแล้ว สิ่งที่สำคัญในช่วงนี้ คือ คุณไม่ต้องพยายามเคลียร์จิตใจหรือห้วงความคิดให้โล่ง ใจคุณอยากจะคิดถึงอะไรก็ปล่อยใจไป ปล่อยให้คิดเรื่องนั้นไปเรื่องเดียว ไม่ใช่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เช่น ถ้าคุณฝึกในธรรมชาติ คุณอาจรู้สึกเหมือนกำลังมองไปรอบๆ ก็มองไปเถอะ รับรู้ถึงสิ่งที่เห็น ดอกไม้ ต้นหญ้าพลิ้วไสวตามสายลม เสียงนกร้อง เสียงแมลงที่บินไปบินมา หรือถ้าทำในห้องก็จะได้ยินเสียงเพลง และได้กลิ่นต่างๆที่เราจุดขึ้น เป็นต้น

5. เชื่อมต่อตัวเรากับธรรมชาติ – เมื่อมาถึงจุดนี้ จิตใจของคุณจะเริ่มสงบ และสงัด(หมายถึงเงียบ)ลงอย่างช้าๆ การหายใจก็จะถูกปรับระดับลงจนเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ต้องห่วงเรื่องหายใจเข้าหายใจออก เพราะนี่ไม่ใช่อาณาปานสติ) ให้ค่อยๆเปลี่ยนเรื่องที่คิด (การแทรกเรื่องที่กำลังจะบอกนี้เข้าไปในความคิดเดิมก็เป็นอีกไอเดียหนึ่งที่ค่อนข้างดี) ใช้จินตนาการของคุณให้เป็นประโยชน์ ให้จินตนาการและรู้สึกตามไปด้วยอย่างช้าๆ ว่าร่างกายของคุณเริ่มอ่อนตัวลง ไม่ใช่ของแข็งอย่างที่เป็น มันค่อยๆละลายลงจนคล้ายเป็นของเหลว กำแพงที่กั้นระหว่างจิตของคุณกับธรรมชาติก็ค่อยๆละลายลงด้วย (ลองนึกถึงไอศกรีมหรือเยลลี่ที่ใส่จานไว้ในห้องและค่อยๆละลายอย่างช้าๆ เรากำลังละลายแบบนั้นแหละครับ) ให้รู้สึกว่าเรากำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบข้างอย่างช้าๆ (ในช่วงนี้หลายๆคนจะมีปัญหาละลายไม่ได้ อย่าท้อครับ วันนี้ไม่ได้ วันหลังก็ได้ ปกติกำแพงอันนี้มักจะหนามากนะครับ สำหรับการหลอมครั้งแรกอาจจะยากหน่อย)

6. ซึมซับพลังชีวิตเพื่อหลอมรวมกับธรรมชาติ – เมื่อมาถึงจุดนี้ จิตและร่างกายของคุณจะผ่อนคลายมากขึ้น และเป็นธรรมชาติมากขึ้น จากนั้นนึกภาพพลังชีวิตในธรรมชาติกำลังส่องแสงเปล่งประกายระยิบระยับแวววาว ซึมซาบอยู่ทั่วไปทั้งในอากาศและในพื้นดินใต้ตัวคุณ ให้รู้สึกถึงพลังงานเหล่านี้ ที่กระจายอยู่ทั่วไปในธรรมชาติรอบๆตัวคุณ พลังเหล่านี้ ไหลเวียนเปลี่ยนผ่านเข้ากับพลังจากร่างกายและจิตของคุณ โดยพลังชีวิตที่ส่องแสงเรืองรองเหล่านั้น จะถูกสูดเข้าไปตามลมหายใจ ลงสู่ปอด เข้าสู่ท้อง และซึมทราบ กระจายไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย และไหลผ่านออกมาทางรูขุมขนทั่วร่าง จุดหลักๆที่จะสามารถรู้สึกถึงการไหลเวียนของพลังชีวิตเหล่านี้ได้ดีคือ ที่จักรที่ 7 (บนกระหม่อม) ฝ่ามือ และฝ่าเท้า (พลังชีวิตจะไหลเวียนนะครับ เข้าและออก ไม่ใช่หยุดนิ่งสะสมอยู่ที่ใดที่หนึ่ง หรือจุดเหล่านี้) คุณจะรู้สึกว่ากายและจิตของคุณเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมากขึ้นเมื่อมาถึงจุดนี้ (หลายๆคนมักจะหลับสนิทไปในช่วงนี้แหละครับ ซึ่งไม่ต้องกังวลครับ ถึงอย่างไร เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว คุณก็ได้รับประโยชน์ไปมากแล้วล่ะครับ)

7. ซึมซับพลังชีวิตเพื่อกายและจิต – ทำต่อเนื่องจากข้อที่ 6 นะครับ แต่หลังจากนี้ ให้จินตนาการและรู้สึกว่า พลังชีวิตยังคงไหลเข้ามาในร่างกายของเราตลอดเวลา แต่ซึมออกนอกร่างกายน้อยลงเรื่อยๆ จนไม่ซึมออกอีกต่อไป ไหลเข้าอย่างเดียวจนเติมเต็มทุกส่วนสัดของกายและจิต ซึมทราบไปทั่วทุกอณูของร่าง เต็มปริ่มอยู่ที่รูขุมขนโดยไปรั่วไหลออกไปไหน ในช่วงนี้ เราจะรู้สึกว่าร่างกายและวิญญาณของเรากำลังเปล่งแสงเรืองรอง เนื่องจากมีพลังชีวิตจากธรรมชาติไหลซ่านมาหล่อเลี้ยงจนอิ่มเอิบไปทั่ว

8. เก็บกักพลังชีวิต – หลังจากร่างกายของคุณเริ่มส่องสว่างจากแสงแห่งพลังชีวิตแล้ว ให้คุณค่อยๆจินตนาการถึงเกราะหรือกำแพงที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เป็นกำแพงที่บางและงดงามกว่าตอนแรกมาก ซึ่งเราจะสามารถเปิดกำแพงนี้ออกเมื่อไรก็ตามที่ต้องการติดต่อกับธรรมชาติอีกครั้ง ในช่วงนี้ ร่างกายที่อ่อนเหลว ก็ให้จินตนาการว่ามันค่อยๆกลับเป็นของแข็ง เป็นตัวตนของคุณอีกครั้งหนึ่ง โดยเก็บกักพลังชีวิตที่ส่องแสงเรืองรองไว้ภายใน หลังจากนั้น ให้จินตนาการว่า แสงเหล่านั้น ค่อยๆรวมตัวเข้าหากัน เป็นลูกบอลแห่งแสงที่เจิดจ้าอยู่ในร่างกายบริเวณจักรที่4 หรือ Solar plexus (อยู่ที่ท้อง บริเวณกึ่งกลางระหว่างสะดือและลิ้นปี่) ค่อยๆเก็บมันไว้ในร่างกายของคุณโดยจินตนาการว่าบอลนี้ค่อยๆมืดลงจากการถูกห่อหุ้มปกคลุมด้วยร่างกายที่เป็นของแข็งของคุณ นับแต่นี้ไป บอลแห่งแสงนี้จะถูกเก็บอย่างดีและปลอดภัยภายในร่างกายของคุณจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องการใช้มันอีกครั้ง

9. รวมพลัง – สำหรับการฝึกครั้งต่อๆไป ในช่วงที่ 5 ช่วงที่เรากำลังละลายนั้น ให้เราเห็นและรู้สึกถึงบอลแห่งแสงที่ค่อยๆถูกเผยออก และกระจายออกสู่ทุกส่วนสัดของร่างกาย ก่อนจะหลอมรวมและกลมกลืนกับพลังชีวิตในธรรมชาติในช่วงที่ 6

ให้ฝึกตามแบบฝึกนี้เมื่อใดก็ตามที่คุณมีเวลา และสามารถฝึกได้ คุณสามารถฝึกได้ทุกวันโดยไม่เกิดผลเสีย (ดีด้วย) ไม่ต้องกังวลหากคุณไม่สามารถทำมันได้อย่างสมบูรณ์ทุกครั้ง เพราะคุณอาจจะเผลอหลับไปซะก่อน คุณจะไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน เพราะอย่างน้อย คุณก็จะสามารถหลับได้อย่างสนิทและลึก ซึ่งเป็นการพักผ่อนที่ดีมาก คุณจะรู้สึกได้ถึงความสดชื่นเมื่อตื่นขึ้นหลังจากนั้น เพราะคุณได้พักผ่อนร่างกายและจิตอย่างเต็มที่นั่นเอง ผมขอแนะนำให้ผู้ที่ต้องการฝึก ปรินท์รายละเอียดออกไปอ่านและทำความเข้าใจถึงขั้นตอนต่างๆอย่างละเอียดก่อน ไม่ใช่ทำๆอยู่แล้วต้องตื่นขึ้นมาอ่าน เพราะนอกจากจะไม่เกิดผลแล้ว อาจส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตได้

การพยากรณ์โดยใช้คริสตัลบอล (Crystal Ball Gazing)


การพยากรณ์โดยใช้คริสตัลบอล
(Crystal Ball Gazing)

มีคำกล่าวไว้ว่า “The methods used to predict the future are as many and varied as leaves on the trees” วิถีแห่งการพยากรณ์นั้นมีมากมายและหลากหลายราวกับใบไม้บนหมู่แมกไม้


ผู้คนจำนวนมาก เดินเข้าสู่บู๊ธพยากรณ์ ด้วยความหวังที่จะได้พบกับภาพผู้พยากรณ์นั่งสบายๆอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ คลุมด้วยผ้าคลุมสีเข้ม บนโต๊ะมีลูกแก้วคริสตัลขนาดใหญ่ที่งดงามวางสงบนิ่งอยู่ภายใต้แสงเทียน และกลุ่มหมอกควันจางๆลอยอ้อยอิ่งอยู่ในลูกแก้ว แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวัง เนื่องจาก มิใช่ผู้พยากรณ์ทุกคนจะสามารถใช้คริสตัลบอลในการพยากรณ์ได้

การพยากรณ์โดยใช้คริสตัลบอล เป็นวิธีการพยากรณ์ที่ได้รับการยอมรับ และนับถือจากบุคคลทั่วไปมาเป็นเวลานาน หลักการที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไปเป็นหลักการที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศโรมาเนีย หรือที่รู้จักกันในชื่อ ยิปซี (Gypsy) นั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้หลักการของศาสตร์อื่นๆในการพยากรณ์อีกด้วย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทหรือขอบเขตของคำตอบที่คาดหวัง เช่น การใช้กสิณหรือฌานในการพยากรณ์ เพื่อค้นหาคำตอบในส่วนลึกของจิต เป็นต้น ทั้งนี้ ในการพยากรณ์ด้วยคริสตัลบอล ผู้พยากรณ์แต่ละคนอาจมีวิธีการมองที่แตกต่างกัน บางท่านอาจมองเข้าไปภายในบอล โดยมีภาพเล็กๆปรากฏอยู่ภายใน บางท่านอาจมองโดยเห็นภาพขึ้นมาแทนที่บอลลูกนั้น หรือบางท่านอาจใช้บอลเป็นตัวฉายภาพเข้าไปปรากฏในมโนภาพของตน ไม่มีข้อกำหนดชัดเจนในส่วนนี้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้พยากรณ์แต่ละท่าน

เนื่องจากการพยากรณ์โดยใช้คริสตัลบอล เป็นการพยากรณ์ที่ไม่มีสิ่งอื่นมาเป็นสื่อ หรือเป็นสัญลักษณ์ในการชี้แนะคำทำนาย แต่เป็นการใช้พลังจิตในการมองและอ่านโดยตรง ที่เรียกกันว่า Psychic reading จึงทำให้การพยากรณ์แบบนี้ไม่แพร่หลายมากนักในปัจจุบัน เพราะมีผู้พยากรณ์จำนวนไม่มากนัก ที่สามารถใช้พลังจิตในการวิเคราะห์อดีต ปัจจุบัน และอนาคต รวมถึงบุคคล เหตุการณ์ เรื่องราวต่างๆได้จริง ซึ่งต้องอาศัยทั้งความสามารถพิเศษและการฝึกฝนอย่างถูกวิธีเป็นระยะเวลานานพอสมควรกว่าจะสามารถใช้คริสตัลบอลในการพยากรณ์ให้ผู้อื่นได้

อันที่จริง ลูกแก้วคริสตัล หรือคริสตัลบอล เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการพยากรณ์ โดยเลือกใช้วัตถุที่มีผิวเรียบและเป็นมันวาว ในการมองภาพบุคคลหรือเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งในที่นี้ สามารถใช้สิ่งอื่นๆทดแทนได้ในหลักการเดียวกัน เช่น อ่างหรือชามหรือถ้วยที่ใส่น้ำสะอาดจนเต็มปริ่ม, แหล่งน้ำตามธรรมชาติ, กระจกเงา ฯลฯ และหากเป็นลูกแก้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกแก้วที่ทำมาจากหินธรรมชาติเท่านั้น แก้วที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น ก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน เพียงแต่จะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เนื่องจากเป็นวัตถุที่ไม่มีพลังงานในตัวเองตามธรรมชาติ ในที่นี้ ผู้เขียนจึงขอแนะนำให้ใช้บอลที่ทำมาจากหินหรือแร่ในธรรมชาติเท่านั้น ส่วนจะเป็นหินหรือแร่ชนิดใด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความพอใจส่วนตัวของตัวผู้ใช้เอง (ผู้เขียนใช้บอลที่ทำมาจาก Rock Crystal หรือ Clear Quartz ซึ่งเป็นที่นิยมพอสมควร แม้จะแพงอยู่สักหน่อยแต่ก็คุ้มครับ)


ก้าวแรกอันมั่นคง
ก่อนที่จะหาซื้อบอลที่จะนำมาใช้ ควรเตรียมอุปกรณ์และความพร้อมของผู้ฝึกหัด ให้เรียบร้อยเสียก่อน อุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้ ได้แก่


1. ผ้าชิ้นเล็ก ควรเป็นผืนใหม่ที่สะอาด เลือกที่เนื้อนุ่มและสามารถซับน้ำได้ดี เพื่อใช้ในการเช็ดทำความสะอาดภายหลังการล้าง อาจเป็นสีขาวหรือดำ หรือสีอื่นๆก็ได้ แต่ควรเป็นสีพื้น คือไม่มีลาย และสีไม่ฉูดฉาดเกินไป


2. ผ้าชิ้นใหญ่ ควรเลือกใช้สีดำหรือสีเข้ม มีเนื้อหนานุ่ม ไม่หยาบกระด้าง ใช้สำหรับห่อหุ้มลูกบอลก่อนและหลังการใช้ อาจใช้ถุงผ้าสีเข้ม หรือหนังสัตว์แทนได้ ที่เลือกใช้ผ้าเนื้อหนานุ่มเพื่อป้องกันรอยขูดขีดซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ และใช้สีเข้มเพื่อเป็นการป้องกันพลังงานที่ไม่ดีจากภายนอก ถูกดูดซับเข้าสู่คริสตัลบอล


3. โต๊ะสำหรับวางคริสตัลบอล ควรเป็นโต๊ะที่มีขนาดพอดีกับความต้องการและความพอใจของผู้ใช้ และเป็นโต๊ะที่มั่นคง ไม่เอียง ไม่โยก เพื่อมิให้เป็นการเสี่ยงต่อการที่บอลจะกลิ้งหรือตกเสียหาย


4. ฐานสำหรับวางคริสตัลบอล ใช้สำหรับการวางคริสตัลบอลบนโต๊ะในระหว่างการใช้ ควรเลือกใช้วัสดุที่มีผิวเรียบ และไม่แข็งเกินไป เพื่อไม่ทำให้บอลเป็นรอยขูดขีด ที่สำคัญคือควรเป็นวัสดุธรรมชาติ อาจเป็นไม้หรือหินเนื้ออ่อน หรือโลหะอื่นๆ เช่น ทองคำ เงิน ทองเหลือง ทองแดง ดีบุก ฯลฯ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ใช้เป็นหลัก


5. เทียน สีหรือกลิ่นที่เป็นที่พอใจของผู้ใช้ และเครื่องหอมต่างๆ เช่นธูปหอม กำยาน น้ำมันหอมต่างๆ ควรเลือกใช้กลิ่นที่เป็นธรรมชาติ หรือสกัดจากธรรมชาติ และเป็นกลิ่นที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสงบ เบา สบาย และมีสมาธิ


6. กล่องหรือภาชนะสำหรับเก็บคริสตัลบอล ควรเป็นวัสดุธรรมชาติที่มั่นคงแข็งแรง เช่นหีบไม้ หรือหนังสัตว์ แต่ไม่ควรใช้กล่องโลหะ เพราะจะปิดกั้นการถ่ายเทอากาศมากเกินไป ภายในกล่องควรบุด้วยผ้าหนาๆนุ่นๆเช่นผ้ากำมะหยี่ หรือพวกขนสัตว์ต่างๆ วัสดุที่ใช้ก็ควรเป็นวัสดุธรรมชาติเช่นกัน เพื่อลดการเกิดไฟฟ้าสถิต


ทั้งนี้ อุปกรณ์ทั้งหมด ควรผ่านการชำระล้างพลังงานด้านลบ พลังงานที่ไม่ดีและพลังงานที่ไม่พึงประสงค์ออกเสียก่อน อาจใช้การชำระด้วยแสงอาทิตย์ การใช้ควันของเครื่องหอม หรือการชำระด้วยจิตก็ได้




นอกจากนั้น การเตรียมพร้อมของตัวผู้ฝึกหัด เวลาในการฝึก และสถานที่ที่จะใช้ทำการฝึก ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การฝึกหัดเป็นไปอย่างสมบูรณ์ โดยมีข้อกำหนดคร่าวๆ ดังนี้

1. พื้นฐานของจิต

ผู้ฝึกหัดควรมีพื้นฐานด้านการทำสมาธิหรือการฝึกจิตมาบ้าง (ในกรณีที่มีความสามารถพิเศษด้านนี้อยู่แล้ว อาจไม่ต้องฝึกมากนัก และจะมีวิธีการฝึกอีกแบบหนึ่ง) หรืออย่างน้อย ควรทำสมาธิเป็น สมองซีกขวา ซึ่งควบคุมการทำงานด้านจินตภาพควรทำงานได้ค่อนข้างดี ถึงดีมาก และมีความตั้งใจ มุ่งมั่นในการปฏิบัติ (การเลิกฝึกกลางคันอาจส่งผลเสียต่อการทำงานของสมองและจิตใจ) ผู้ฝึกหัดใหม่(ไม่มีความสามารถพิเศษอยู่ก่อนและไม่มีพื้นฐานการฝึกจิตหรือสมาธิ)อาจใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมของพลังชีวิตและพลังจิตค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถและความพยายามของผู้ฝึกหัด

อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าการมีพื้นฐานการฝึกจิตมาดีหรือมีความสามารถพิเศษอยู่แล้ว จะสามารถซื้อบอลมาใช้ได้ทันที นั่นเป็นไปไม่ได้ การพยากรณ์หรือการฝึกจิตทุกอย่างต้องใช้เวลาในการฝึกปฏิบัติ เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับวิถี และความช่ำชองชำนาญ จะใช้เวลามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถและพรสวรรค์ของแต่ละบุคคล และประสบการณ์ในการใช้ด้วย

2. เวลาในการฝึก

ผู้ฝึกควรมีเวลาเป็นของตัวเองอย่างน้อยวันละครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงในแต่ละวันในช่วงแรก และ หลังจากนั้น ค่อยๆลดลงคือไม่ต้องฝึกทุกวันได้ อาจจะเป็น 2-4 วันต่อสัปดาห์แล้วแต่ความสะดวก

เวลาที่เหมาะสมต่อการฝึก คือเวลาเย็น ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับฟ้าแต่ยังไม่มืด หรือหากไม่สามารถฝึกในเวลานั้นได้ ควรเป็นเวลาอื่นที่เรารู้สึกสบาย และผ่อนคลาย สามารถอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน และปราศจากความหมกมุ่นกังวลกับชีวิตประจำวัน จะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ได้ ในที่นี้มีส่วนสัมพันธ์กับสถานที่ด้วย

3. สถานที่ในการฝึก

ควรเป็นสถานที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงอึกทึกรบกวน และเราสามารถอยู่คนเดียวได้เป็นเวลานานๆ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นในบ้านหรือนอกบ้าน บรรยากาศในสถานที่ควรจะทำให้ผู้ฝึกรู้สึกสงบและสบาย (อาจเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องพระก็ได้) มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป และมีความชื้นพอเหมาะ ไม่แห้งหรืออับชื้นเกินไปจนรู้สึกไม่สบายตัว หากใช้เครื่องปรับอากาศควรปรับอุณหภูมิให้พอดีกับความต้องการ ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป และใช้พัดลมเบาสุด อาจจุดเครื่องหอมได้ตามต้องการ (เครื่องหอมที่มีควันเหาะสำหรับห้องหรือสถานที่ๆเปิดโล่ง ส่วนน้ำมันหอมเหมาะกับห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ทั้งยังช่วยควบคุมความชื้นในอากาศด้วย)

ภายในห้องควรมีแสงสว่างไม่มากนัก แค่พอมองเห็นได้ชัดเจนและสบายตา แสงที่สว่างจ้าเกินไปอาจทำให้ไม่สบายตาและรู้สึกกระวนกระวายไม่มีสมาธิ รวมทั้งไม่ควรให้มีแสงส่องตรงสู่คริสตัลบอลหรือตาของผู้ฝึกโดยตรง จะเกิดผลเสียต่อสายตาได้ (แสงที่แนะนำคือแสงจากเทียนจำนวนไม่มากนัก ปิดไฟฟ้าทั้งหมดและจุดเทียนสองถึงสามต้น ก็ค่อนข้างสว่างแล้ว ถ้ายังรู้สึกมืดเกินไปอาจเพิ่มได้อีก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของสถานที่ด้วย)

เสียงในห้องก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้การฝึกดำเนินไปด้วยดียิ่งขึ้น บางคนอาจไม่ชอบอยู่ในห้องที่เงียบสนิทและมีแสงสลัวๆคนเดียว อาจเปิดเพลงบรรเลงเบาๆร่วมด้วยได้ เพลงที่ใช้ควรเป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกสงบ ไม่หนวกหู เป็นเสียงในธรรมชาติหรือเป็นเสียงเครื่องดนตรีเดี่ยวๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีของชาติใด ควรเลือกเพลงที่มีท่วงทำนองค่อนข้างช้าเนิบนาบ และราบเรียบ และมีโทนเสียงกลาง ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป





การเลือกซื้อคริสตัลมาใช้

ในการเลือกบอลที่จะนำมาใช้นั้น ควรเลือกชนิด สี ขนาด และรูปร่าง ตามความพอใจของผู้ใช้เป็นหลัก ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวในส่วนนี้เช่นกัน ข้อแนะนำสำหรับผู้ไม่มีประสบการณ์ในการใช้บอลที่ทำจากหินธรรมชาติ คือ พยายามใช้สีที่ดูแล้วสบายตา ไม่ฉูดฉาดเกินไป และเมื่อสัมผัส ตัวท่านเองจะรู้สึกได้ว่า บอลลูกนั้นใช่หรือไม่

ตำหนิหรือร่องรอยต่างๆภายในเนื้อหิน เป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ควรตระหนัก เป็นธรรมดาของบอลที่ทำจากหินธรรมชาติ ที่มักจะมีตำหนิหรือร่องรอยต่างๆภายใน หากเลือกที่จะใช้บอลขนาดใหญ่ ย่อมจะมีตำหนิต่างๆมากขึ้นตามไปด้วย (ที่ไม่มีตำหนิเลยหรือมีน้อยมากก็มีเช่นกัน แต่จะราคาสูงมาก เช่น Clear Quartz Crystal Ball ที่ใสบริสุทธิ์จริงๆ ณ ปัจจุบัน บอลที่มีนำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม จะมีราคาอยู่ที่ประมาณสองแสนบาทต่อลูก) การเลือกซื้อควรเลือกชนิด ลักษณะและสีของตำหนิภายในด้วย โดยเลือกบอลที่มีร่องรอยที่งดงามและถูกใจก็พอ อีกทั้งไม่ควรเลือกซื้อบอลที่ตำหนิหรือร่องรอยต่างๆเหล่านั้น โผล่หรือทะลุมาจนถึงผิวนอก อันจะทำให้พื้นผิวเกิดรอยสะดุดหรือขรุขระเป็นบริเวณกว้าง จะส่งผลต่อการพยากรณ์ที่ไม่ราบรื่น แต่หากมีเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีผลมากนัก และในระหว่างการซื้อ ควรถามผู้ขายให้แน่ชัดว่า หินชนิดนั้นๆ มีข้อควรระวังในการใช้และการเก็บรักษาอย่างไรบ้าง

ต้อนรับคริสตัลสู่ชีวิต

หลังจากที่เราซื้อคริสตัลบอลมาแล้ว ให้พยายามตรงกลับบ้านทันที ล้างบอลด้วยน้ำสะอาด และสบู่เหลวเจือจาง (อาจผสมเกลือทะเลเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของหิน) หลังจากนั้น ใช้ผ้าสะอาดชิ้นเล็กเช็ดให้แห้ง ไม่ต้องถูนะครับ เวลาล้างควรจับให้มั่น เพราะหินส่วนใหญ่จะลื่น อาจทำตกเสียหายได้ หลังจากนั้น ลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมเบาๆให้ทั่ว แต่ไม่ต้องมากนัก น้ำมันจันทน์ หรือน้ำมันจากอำพันก็เป็นทางเลือกที่ดี

การล้างด้วยน้ำในครั้งแรกนั้น เป็นการล้างสิ่งสกปรกทางภายนอกหรือทางกายภาพ ซึ่งอาจติดมาจากกระบวนการผลิตหรือขนส่ง หรือจากการวางอยู่ในร้านค้า ส่วนการลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมนั้น เป็นการชำระ ภายใน คือการล้างพลังงานที่ไม่พึงประสงค์ออกจากคริสตัลบอล ในขณะที่ลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมนั้น ควรตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อช่วยในการชำระสิ่งไม่ดีออกจากคริสตัลบอลด้วย หลังจากนั้น ห่อด้วยผ้าผืนใหญ่ที่เตรียมไว้ แล้วใส่ลงในกล่องหรือหีบที่เตรียมไว้ เก็บไว้อย่างสงบอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ จึงนำออกมาล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ก่อนนำไปใช้

ในระหว่างขั้นตอนเหล่านี้ อาจมีการจุดเทียนและเครื่องหอม เปิดเพลงสำหรับฝึกสมาธิเบาๆ และสวดมนต์หรือกล่าวอะไรเล็กน้อย เพื่อเป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าสู่บ้านหรือวิถีการดำเนินชีวิตของเรา




การมองคริสตัลบอลและการพยากรณ์

ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ว่าเราสามารถมองคริสตัลบอลได้ในหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้พยากรณ์ สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ จากการทดลองฝึกปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้น ไม่มีใครสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัวได้

ในการเปิดใช้คริสตัลบอลครั้งแรก ควรเริ่มในคืนเดือนมืดหรือวันข้างขึ้นต้นๆ (เช่น ขึ้น 1 ค่ำ) เลือกเวลาที่ทุกสิ่งเงียบสงบ และแน่ใจว่าคุณจะไม่ถูกรบกวน หากเป็นไปได้ให้เลือกเวลาพระอาทิตย์ตกแต่ยังไม่มีดดังที่กล่าวไว้แล้ว เนื่องด้วย ชาวโรมาเนียถือว่าเป็นMagical time หรือเวลาแห่งมายานั่นเอง สภาพของห้องหรือสถานที่ควรจัดตามที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น

หลังจากนั้น นำคริสตัลบอลออกจากล่อง และค่อยๆเปิดผ้าที่ห่อหุ้มไว้ออก และค่อยๆวางลงบนโต๊ะ นั่งห่างจากคริสตัลบอลพอสมควร ในระยะที่สบายสำหรับผู้ฝึก ไม่มีข้อกำหนดใดๆกล่าวไว้ว่าจะต้องนั่งอย่างไรหรือมีระยะห่างเท่าไหร่ แต่ควรเป็นท่านั่งที่สบาย สามารถนั่งได้นานๆ และสามารถทำสมาธิได้ (ส่วนใหญ่ชาวตะวันตกจะไม่ได้นั่งขัดสมาธิเพื่อทำสมาธิแบบของทางตะวันออกนะครับ แต่มักจะนั่งบนตั่งหรือเก้าอี้แทน ไม่ก็ยืนไปเลย) ทำจิตให้สงบเพื่อปลุกเร้าและปลดปล่อยพลังงานZee (คล้ายกับชี่หรือพลังลมปราณ) วาดมือผ่านบอลเบาๆ 3 ครั้ง อาจมากกว่านี้ ในช่วงต้นของการฝึก แต่ไม่ควรน้อยกว่า 3 ครั้ง และอย่าให้สัมผัสโดนคริสตัลบอล รู้สึกถึงการถ่ายเทหนุนเวียนพลังงานระหว่างมือกับคริสตัลบอล ผ่อนคลายจิตใจและร่างกาย เปิดเปลือกตาช้าๆ มองไปที่ลูกแก้วโดยไม่ต้องเพ่ง เป็นการมองแบบผ่านๆเหมือนการมองออร่า และไม่ต้องมุ่งหวังว่าจะต้องเห็นสิ่งใดในการฝึกครั้งแรกๆ ไม่ต้องเสียใจหรือพยายามเพ่งมองให้เกิดภาพ จะกลายเป็นการหลอกตัวเองไปเปล่าๆ ในช่วงต้นนี้ ไม่ควรฝึกมองนานเกิน 30 นาทีต่อครั้งต่อวัน ในการมองครั้งแรกนี้ อาจเห็นสิ่งประหลาดบ้าง หรือไม่เห็นอะไรเลย อย่าตกใจและอย่าท้อ ทุกคนย่อมต้องอาศัยการฝึกและการใช้บ่อยๆ รวมถึงการหล่อหลอมประสบการณ์และความชำนาญในการมองภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจ และการมองเห็นที่แจ่มชัดขึ้น ไม่มีข้อกำหนดเช่นกันว่าทุกคนจะต้องเห็นเป็นภาพทุกครั้ง บางคนหรือบางครั้งอาจเห็นเป็นสัญลักษณ์ หรือได้ยินเป็นเสียง หรืออาจมีการรับสัมผัสอื่นๆได้อีก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเครื่องรับสัญญาณของแต่ละคน

หลังจากฝึกไปได้ระยะเวลาหนึ่ง สิ่งที่เห็นในช่วงตันนี้มักเป็นกลุ่มหมอก หรือควัน หรือเมฆ ส่วนใหญ่จะเป็นสีขาว แต่ก็มีบ้างที่เป็นสีสันต่างๆออกไปในช่วงแรกอาจยังไม่สามารถตีความหมายใดๆได้ ซักระยะหนึ่งของการฝึก กลุ่มเมฆหมอกเหล่านี้ จะค่อยๆจางลงหรือปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเอง หากไม่เห็นอะไร อย่าพยายามฝืนหรือคิดจินตนาการไปเอง เพราะจะกลายเป็นการสร้างภาพ ทำให้คำพยากรณ์ผิดเพี้ยนไป นี่คือหลักการของการใช้Psychic reading



การตั้งคำถาม

คำถามส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่ หลังจากสามารถมองเห็นภาพต่างๆได้ดีพอสมควรแล้ว การฝึกตั้งคำถามในใจ จะช่วยให้การฝึกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในช่วงแรกของขั้นตอนนี้ ให้คิดถึงบุคคลหรือสถานที่ อันเป็นที่รู้จักหรือกำลังต้องการพบเจอไว้ในใจ ภาพที่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพลอยๆของบุคคลหรือสถานที่นั้น หรือเป็นภาพที่ไม่อาจแปลความหมายได้ ควรฝึกและทดลองตั้งคำถามในใจกับตัวเอง จนเกิดความคล่องแคล่วชำนาญ สามารถตั้งคำถามได้ตามความต้องการของจิตใจ สามารถมองภาพต่างๆได้สมบูรณ์ชัดเจนดี และมีความมั่นใจในความสามารถของตนเองอย่างมั่นคงดีแล้ว จึงสามารถออกทำนายให้แก่ผู้อื่นได้ สิ่งที่ควรจำก็คือ การขาดความเชื่อมั่นในพลังและความสามารถของตนและความกังวลหรือประหม่า จะทำให้คุณไม่สามารถใช้พลังของตนเองและของธรรมชาติได้



การพยากรณ์ให้แก่ผู้อื่น

ให้ทำทุกอย่างตามขั้นตอนที่ได้ฝึกมา (ตอนฝึกอาจจะนานมาก แต่เมื่อเกิดความชำนาญ ขั้นตอนการเตรียมตัวเข้าสู่การพยากรณ์จะใช้เวลาน้อยลง) ให้ผู้รับการทำนายอังมือไว้เหนือคริสตัลบอลสักครู่ พร้อมกับทำใจให้สงบ ตั้งสมาธิถึงสิ่งที่เขาต้องการทราบแล้วจึงเริ่มการทำนาย โดยอธิบายถึงสิ่งที่เราเห็นให้แก่ผู้มารับการทำนาย แต่ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า อย่าทำนายให้แก่ผู้ใด จนกว่าเราจะมั่นใจในพลังและความสามารถของตน ความประหม่าและกังวลจะนำไปสู่ความผิดพลาดอย่างร้ายแรงในอนาคต อันจะทำให้เราเสื่อมเสียชื่อเสียงได้


Crystal Therapy



คริสตัลบำบัด
(Crystal Therapy)

.....คริสตัลบำบัด หรือหินบำบัด หรือผลึกบำบัด หรือ คริลตัลเธราพี หรือ คริสตัลฮีลลิ่ง (Crystal healing) บางทีเรียกว่า การรักษาโรคโดยใช้อัญมณี (Gem therapy) เป็นการใช้ผลึกควอตซ์ (quartz) ผลึกชนิดอื่นๆ หรืออัญมณีต่างๆทั้งแบบรูปทรงธรรมชาติ และผ่านการตบแต่งด้วยฝีมือมนุษย์ เพื่อวัตถุประสงค์ในการบำบัดรักษาโรค และใช้ร่วมกับการสร้างความสมดุลของจักระ (Chakra) และการบำบัดโดยใช้สี หรือรงคบำบัด (Color therapy) ซึ่งจะกล่าวถึงในอนาคต

....เป็นที่ทราบกันว่า คริสตัลและอัญมณีทั้งหลาย ก็เหมือนกับร่างกายมนุษย์ คือมีพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ คริสตัลและอัญมณีต่างๆ จะกระจายความสั่นสะเทือนและความถี่ ซึ่งมีศักยภาพมากในการส่งผลกระทบกับทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และจิตวิญญาณ



....ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีผู้คนที่หลงใหลติดใจกับเสน่ห์ความงามของหิน ผลึก และอัญมณีต่างๆมาโดยตลอด เป็นธรรมดาที่คนเราจะอยากหยิบเอาหินหรือผลึกสวยๆขึ้นมา และพกพาติดตัวไปด้วย ในท้ายที่สุด ก็เป็นที่ทราบกันว่า ผลึกและหินบางชนิดมีศักยภาพ ในการสร้างผลกระทบบางอย่างให้เกิดขึ้นกับร่างกาย เพชรพลอยและหินมีค่าต่างมีคุณสมบัติอันลึกลับอยู่ วัฒนธรรมยุคบุพกาลและวัฒนธรรมยุคที่มีอารยธรรมแล้ว ตลอดจนชนพื้นเมืองต่างๆทั่วโลก ต่างเคยใช้หินและผลึกต่างๆในการรักษาโรค และในพิธีกรรมต่างๆมากมาย

....ในต้นทศวรรษที่ 1980 ผลึกเริ่มเป็นที่สนใจของผู้คนทั่วไปอย่างกว้างขวาง และเริ่มมีการนำผลึกและหินชนิดต่างๆ เข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ผลึกและหินบางชนิด ใช้สวมใส่กับร่างกาย บางชนิดก็นำมาเก็บไว้ในห้องต่างๆภายในบ้าน เพื่อสร้างผลกระทบทางอารมณ์ตามที่ปรารถนา

....สำหรับการรักษาและประโยชน์ในทางอื่นๆนั้นก็สามารถนำเอาความสั่นสะเทือนของพลังงาน และคุณสมบัติต่างๆของผลึกและอัญมณี มาใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบ เช่นสวมใส่เป็นเครื่องประดับ, พกติดตัวไว้ในกระเป๋า, เก็บไว้ในห้องหรือที่ทำงาน ผลึกและอัญมณีจำทำให้รู้สึกสบายใจ และรู้สึกถึงประโยชน์ของมันที่ส่งออกมา ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากความเชื่อที่ว่า มันจะส่งผลดีให้แก่ตัวก็เป็นได้


....ผลึกและอัญมณีต่างๆโดยทั่วไปแล้ว จะถูกนำมาเป็นเครื่องประดับ เช่น กำไล แหวน ต่างหู มงกุฎ เครื่องประดับศีรษะ เข็มขัด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถนำมาใส่ถุงเล็กๆ แล้วเกี่ยวแขวนหรือพกไว้กับตัวก็ได้ โดยมากมักสวมใส่หรือประดับอยู่เหนือเมอริเดียนพลังงานของร่างกาย และตามที่ตั้งของจักระต่างๆ หรือบริเวณใกล้เคียง ด้วยเชื่อว่า ผลึกและอัญมณีเหล่านั้นสามารถกระตุ้นหรือเปิดหรือเพิ่มการไหลเวียนของพลังงานในบริเวณนั้นๆได้ เนื่องเพราะสาเหตุของปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับระบบการทำงานของร่างกาย มักเกิดจากการติดขัดหยุดนิ่งหรือสับสนวุ่นวายของกระแสพลังงานในบริเวณนั้นๆ หรืออาจเกิดจากความผิดปกติทางความคิดหรือสภาวะจิต ทำให้เกิดการปิดกั้นพลังชีวิตที่บริเวณต่างๆที่เกี่ยวข้อง ผลึกจึงถูกนำมาใช้เพื่อจัดระบบการไหลเวียนของพลังงานทั้งภายในและภายนอกร่างกายเสียใหม่ให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น รวมทั้งใช้พลังงานของหินนั้นๆในการชำระ หรือกำจัดสิ่งปิดกั้นที่มีอยู่ออกไปด้วย เมื่อระบบพลังงานของร่างกายและจิตใจได้รับการฟื้นฟูจนกลับคืนสู่สมดุลแล้ว ก็ย่อมจะส่งผลดีต่อสุขภาพกายและจิตใจไปด้วย (เมื่อร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ทำงานประสานกลมกลืนกัน เราจะสามารถกำกับจิตใจให้มีความสงบ สร้างความมีชีวิตชีวา หรือก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในด้านต่างๆขึ้นมาได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของหินที่ใช้)

....นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่า อารมณ์ต่างๆสามารถถูกกระตุ้นขึ้นมาได้ หากว่าไปอยู่ใกล้กับหินผลึกบางชนิด เช่น ควอตซ์สีกุหลาบ (Rose quartz)ที่มีสีอ่อนหวาน ซึ่งเป็นที่นิยมใช้พลังงานในการบำบัดบริเวณหัวใจ เมื่อนำไปไว้ในบริเวณต่างๆของห้อง ก็จะก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับความรัก และการอุปการะ หรือความเมตตาและความอ่อนโยน ในขณะที่หินโรสควอตซ์ที่มีสีชมพูจัด จะส่งเสริมการแสดงออกถึงความรักอย่างคึกคัก




ศิลปะการวางหิน

....ศิลปะการวางหินของโบราณนั้น “หมอ” จะเป็นผู้นำเอาผลึกและอัญมณีไปวางลงที่ส่วนต่างๆของร่างกาย ให้ตรงกับจุดของจักระ เพื่อทำให้การไหลเวียนของพลังงานสมดุล เช่น ใช้หินมาลาไคต์ (Malachite) วางไว้ที่ชายโครง เพื่อช่วยดึงอารมณ์ที่ถูกปิดกั้นไว้ออกมา เพื่อให้จักรหัวใจสามารถเปิดและทำงานได้อย่างปกติ

....ผลึกและอัญมณี ควรได้รับการ “ชำระล้าง” อย่างถูกวิธีเสียก่อนทีจะนำมาใช้ โดยเฉพาะหินที่จะนำมาใช้รักษาโรค หินผลึกเหล่านี้สามารถสะสมเอาความสั่นสะเทือนจากบุคคลที่สัมผัสมันมาก่อน หรือจากสถานที่ๆเคยอยู่เอาไว้ได้ แหล่งพลังงานต่างๆ เช่น เสียง แสง อารมณ์ ความคิด และสภาพแวดล้อมทางกายภาพ สามารถทิ้งพลังงานของมันไว้ในหินผลึกได้ หากว่าผู้ที่เคยเป็นเจ้าของหินนั้นป่วย หรือมีความคิดในทางที่ร้ายมาก ความสั่นสะเทือนจากความคิดและความป่วยไข้เหล่านี้ ก็อาจส่งผ่านมายังคนที่ใช้หินผลึกนั้นๆเป็นคนต่อมาก็ได้ หากไม่มีการล้างเสียก่อน

....การล้างสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ล้างในน้ำไหลโดยการราดน้ำหรือผ่านน้ำจากก๊อก การจุ่มหรือแช่ในน้ำผสมกับเกลือทะเล บรรจุไว้ในเกลือทะเล นำไปผ่านเปลวไฟหรือควัน หรือนำไปฝังดินไว้ระยะหนึ่ง




....การใช้ผลึกส่วนใหญ่มักเป็นการใช้ด้วยตนเอง แต่ก็มี “หมอผลึก” อยู่มากเหมือนกัน และมีหนังสือมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้จำหน่ายตามร้านหนังสือหรือห้องสมุดส่วนใหญ่(ห้องสมุดในต่างประเทศมี แต่ในไทยไม่ค่อยมีหรอก ต้องจับพวกครูมาล้างสมองก่อนถึงจะมี) ผลึกและอัญมณีต่างๆก็มีจำหน่ายทั่วไป ทั้งตามร้านขายปลีกและที่สั่งซื้อทางไปรษณีย์ (แต่อย่าลืมล้างและจำไว้ว่า หินผลึกแท้จากธรรมชาติใช้ได้ผลดีกว่าพวกที่สังเคราะห์ขึ้นในห้องแล็บ)

**Credit: Alternative Healing by Mark Kastner, L.Dc., Dipl.Ac and Hugh Burroughs.

แนะนำตัวกันก่อนนะครับ


สวัสดีครับทุกคน ผม dabbler นะครับ วันนี้ผมยังไม่รู้จะโพสต์อะไรดี ขอแนะนำร้านก่อนแล้วกันนะครับ

ร้านของผมมีตัวตนอยู่ในกรุงเทพฯนะครับ แถวๆท่าพระ เปิดมาประมาณปีนึงแล้ว บริการหลักของทางร้นก็คือการพยากรณ์ครับ โดยผมจะเน้นใช้ psychic reading หรือที่ภาษาไทยเรียกว่าการอ่านทางจิตเป็นหลัก โดยจะใช้อุปกรณ์ต่างๆกันออกไป เช่น คริสตัล บอล (Crystal Ball), ไพ่ทาโรต์ (Tarot), ไพ่ออราเคิล (Oracle card), เพนดูลัม (Pendulum), หรืออ่านจากจิตใต้สำนึก พลังงานหรือคลื่นต่างๆและออร่า (Aura) จากผู้รับบริการโดยตรง โดยราคาจะอยู่ที่ 200 - 500 บาทนะครับ

นอกจากนี้ ก็ยังมีบริการเสริมอื่นๆอีกนะครับ เช่น การให้คำปรึกษาในด้านจิตวิญญาณ ไม่ว่าใครจะมีปัญหาอะไร โดนวิญญาณติดตาม โดนรบกวนจากสิ่งที่มองไม่เห็น หรือโดนกระทำจากศาสตร์เร้นลับต่างๆ ก็สามารถเข้ามารับคำปรึกษาหรือบำบัดได้ครับ

ในด้านของพลังงานต่างๆ เช่น หินบำบัด หรือพลังบำบัด ก็สามารถแนะนำได้นะครับ ด้วยประสบการณ์ในด้านพลังจิตของผมที่สั่งสมมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี หวังว่าคงพอการันตีได้นะครับ


ส่วนคอร์สที่เปิดสอนอยู่ตอนนี้ มีอยู่สองคอร์สด้วยกันครับ คือ

{ขออภัย เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการสอนใหม่ ขอให้ยึดบทความล่าสุดเป็นหลักนะครับ}


รายได้หลักของผมอันสุดท้ายก็คงเป็นเรื่องของฮวงจุ้ยล่ะครับ ในส่วนนี้เนี่ย ผมจะไม่ได้ใช้หลักการที่ใช้กันอยู่ทั่วไปสักเท่าไหร่นะครับ แต่ผมจะใช้หลักการของการเดินทางของพลังงาน + ความสะดวกและปลอดภัยของผู้ใช้สถานที่เป็นสำคัญครับ ผมมีบริการอยู่สองแบบด้วยกันคือ

1. บริการ ณ สถานที่จริง อันนี้คิดค่าบริการครั้งละ 6,000 - 18,000 บาทครับ (ราคาขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่) โดยผมจะเข้าไปทำการศึกษาการโคจรของพลังงานในสถานที่จริง และค้นหาจุดบกพร่องต่างๆและแนะนำให้แก้ไข แต่ในสายของผมนี้ ลูกค้าจะไม่ต้องทุบ หรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างนะครับ เพราะทุกสิ่งแก้ไขได้โดยไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่นะครับ แล้วก็อีกอย่าง รับรองว่าจัดแล้วบ้านหรือร้านค้าจะไม่กลายเป็นศาลเจ้าด้วยครับ
ส่วนที่ไม่ค่อยสร้างรายได้ให้ผมเลยก็คือ หิน หนังสือ แล้วก็ไอเทมเวทมนต์อื่นๆครับ คงเป็นเพราะผมใจดีเกินไป ทำให้ฟรีๆซะมากกว่า หินกะหนังสือก็ยังมีไม่มากนักครับ เลยไม่ค่อยมีให้เลือกเท่าไหร่ แต่ที่จริงอยากได้อะไรหาให้ได้นะครับ

วันนี้คงพอแค่นี้ก่อนละกันครับ นี่ขนาดไม่รู้จะเขียนอะไรนะเนี่ย เหอๆ