=====================================

ยินดีต้อนรับสู่ Angels Magical Shop พบกับบริการหลากหลายจากทางร้านอาทิ Psychic reading, Psycho-Tarot reading, Oracle card reading, Feng-shui รับปรึกษาและดูฮวงจุ้ยทั้งในและนอกสถานที่ รับสอนและให้คำปรึกษาด้านจิตวิญญาณ พลังงานต่างๆ หินบำบัด พลังบำบัด จำหน่ายและรับสั่งทำอุปกรณ์เวทมนต์ต่างๆ ให้คำปรึกษาด้านพิธีกรรมต่างๆ และอื่นๆอีกมากมาย
Name : July
Color : Ruby pink
Stone : Ruby
Planet : Moon
Element : Water
Fullmoon : Mead Moon (Sunday, 29)
Sun sign : Cancer, Leo (Sun enters Leo on Monday, 23)
Incense & Aroma : Chamomile, Bergamot, Orange, Tangerine
Special : -
The Zee Energy # 1:The First Step of Zee
พลังแห่งชีวิตขั้นที่ 1 : ก้าวแรกแห่งพลังชีวิต
ก้าวแรกแห่งการมุ่งสู่การฝึกฝนปฏิบัติเพื่อใช้พลังต่างๆนั้น คือการตระหนัก รับรู้ และยอมรับการมีอยู่ของพลังประเภทนั้นๆ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก และยังประโยชน์ให้แก่ผู้ฝึกมากกว่าที่คิด แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักลืมเลือนไป เนื่องจาก มักคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการฝึก และจุดมุ่งหมายของการฝึกจนเกินไปนั่นเอง แต่หากผู้ใดได้ตระหนักและยอมรับการมีอยู่ของพลังนั้นๆแล้ว ผู้นั้นก็จะเข้าถึงวิถีแห่งการใช้พลังอย่างสมบูรณ์ นั่นคือ การผ่อนคลาย (Relaxation)
ชาวยิปซีส่วนใหญ่ทำงานหนักมาก (หมายถึงงานทางโลก) แต่เมื่อมีโอกาส พวกเขากลับสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่ ไม่มีติดขัด เนื่องเพราะพวกเขาได้ตระหนักถึงการคงอยู่ของพลังชีวิตในตัวและพลังชีวิตจากธรรมชาติรอบด้านมาหลายชั่วอายุคน และพวกเขายอมรับพลังดังกล่าวอย่างเต็มที่นั่นเอง
หากคุณคาดหวังว่า เนื้อหาต่อไปนี้จะเป็นการสอนให้คุณรู้จักใช้พลังเวทย์ หรือเป็นการทำให้คุณมีเวทมนต์แล้วล่ะก็ หยุดอ่านแค่ย่อหน้านี้เถอะครับ เพื่อไม่ต้องเป็นการเสียเวลาการค้นหาพลังเวทของคุณ เพราะเนื้อหาในบทความชิ้นนี้ เป็นแค่ผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่จากจิตใต้สำนึก ที่ผู้ปฏิบัติจะได้รับ เมื่อได้นั่งปฏิบัติอย่างสงบเพียงสิบหรือยี่สิบนาที ผ่อนคลายทุกส่วนสัด โดยปราศจากการรบกวนจากสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น การจราจร ชีวิตประจำวัน หรือ โทรทัศน์
The Zee Energy # 2: Quietening the Mind
พลังชีวิตขั้นที่ 2 : การสงบจิตใจ
ในขั้นนี้ จะเริ่มเป็นขั้นตอนแห่งการฝึกฝน มิใช่พื้นฐานทางจิตใจดังเช่นขั้นแรกอีก ดังนั้น จะเขียนแยกเป็นข้อๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และสามารถทำตามได้โดยไม่ข้ามขั้น
1. สถานที่ที่เป็นธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญ – หาที่ไหนสักแห่ง ที่คุณจะรู้สึกสบาย และผ่อนคลายเมื่อได้ไปอยู่ ณ ที่นั้น ที่ซึ่งกายและจิตของคุณได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี สถานที่ๆเหมาะต่อการปฏิบัติที่สุดมิใช่ภายในอาคาร แต่ควรเป็นสถานที่สักแห่งภายนอก จะดีมากหากเราสามารถนอนบนพื้นหญ้านุ่มๆ หรือนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ หรือหินก้อนใหญ่ ปูผ้าหรือเบาะนุ่มๆที่นั่งสบายลงไป เพื่อให้เราสามารถนั่งได้อย่างสบายที่สุดเป็นระยะเวลานานๆ และมั่นใจว่าจะต้องไม่มีใครหรือสิ่งใดจากโลกภายนอกมารบกวนเรา ณ ที่แห่งนั้น
2. ในห้องส่วนตัวก็ไม่ใช่จะใช้ไม่ได้ – หากเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้สถานที่ในธรรมชาติ เช่น อยู่ในเมืองใหญ่ หรือมีอันตรายข้างนอก หรือสะดวกสบายมากกว่า หากจะปฏิบัติในอาคาร ห้องที่เลือกนั้น ควรมีแสงจากธรรมชาติเข้ามาได้บ้าง และมีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป ควรปลูกพืชในห้องนั้นบ้าง ให้เลือกพรรณไม้ที่คุณชอบและเป็นต้นไม้ที่เจริญเติบโตค่อนข้างสมบูรณ์ ควรเป็นห้องที่สงบ คุณสามารถอยู่ได้นานๆโดยไม่ถูกรบกวนจากเสียงต่างๆในชีวิตคนเมือง เช่น เสียงโทรศัพท์ เสียงจากการจราจร เสียงวิทยุ ทีวี ฯลฯ (เสียงนก เสียงลม เสียงน้ำไม่เป็นไร) ที่สำคัญคือต้องเป็นห้องที่ต้อนรับคุณ (คุณจะรู้สึกได้เองว่าห้องนั้นต้อนรับหรือไม่จากความรู้สึกชอบหรืออึดอัด) คืออยู่แล้วรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากๆ (ไม่เว้นแม้แต่ห้องนอน เพราะคนส่วนใหญ่ฝึกแล้วมักจะหลับไปในช่วงที่สองนี้) ไม่ควรใช้แสงจากไฟฟ้า แต่คุณสามารถจุดเทียนได้ตามต้องการ และอาจจุดกำยาน หรือธูปหรือน้ำมันหอมได้เช่นกัน ซึ่งควรเลือกกลิ่นที่ชอบและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย คุณสามารถเปิดเพลงเบาๆได้ถ้ามันจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ง่ายและดีขึ้น แต่ต้องเปิดเบาๆแค่พอได้ยินผ่านๆนะครับ และควรเป็นเพลงสำหรับทำสมาธิ หรือสำหรับการผ่อนคลาย หรือบำบัด (อย่างที่ตามสปาชอบใช้)
3. กายสบายจิตก็สบาย – คุณสามารถนั่งหรือนอนฝึกก็ได้ หากจะนั่งพื้น ควรมีเบาะนุ่มๆรองรับและมีที่พิง สามารถเหยียดแขนเหยียดขาได้ตามสบาย หรือถ้าจะนั่งเก้าอี้ ควรเป็นโซฟานุ่มๆที่มีพนักพิง และที่เท้าแขน รวมถึงมีเก้าอี้นุ่มๆสำหรับพาดขาด้วย แต่ท่าที่ผมแนะนำคือท่านอน ให้คุณนอนหงายบนฟูกหรือเบาะที่สบายที่สุด จะหนุนหมอนหรือไม่ก็ได้ตามสบาย (เอาที่สบายที่สุด เพราะการฝึกแบบนี้ไม่ใช่การบำเพ็ญทุกรกิริยา) วางแขนไว้ข้างตัว เหยียดขาตรงโดยแยกขาเล็กน้อยพอสบาย ปล่อยและผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย เราจะรู้สึกได้เองว่าเราเกร็งส่วนใดอยู่หรือไม่ ให้คลายให้หมด (ไม่ต้องห่วงว่าจะตกหรือล้ม เพราะเรานอนอยู่แล้ว มันไม่มีทางล้มไปกว่านี้หรอกครับ) เสื้อผ้าที่ใส่ก็พยายามเลือกที่หลวมๆและเป็นผ้าที่ใส่แล้วไม่เกิดความรำคาญ (จะไม่ใส่เลยก็ได้หากมันจะทำให้คุณรู้สึกสบายมากขึ้นไปอีก เพราะเราอยู่คนเดียวอยู่แล้ว)
4. จิตว่างไม่จำเป็นสำหรับการฝึกพลังชีวิต – หลังจากคุณอยู่ในท่าที่สบายที่สุดแล้ว ให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างช้าๆและปล่อยออกยาวๆอย่างช้าๆเช่นกัน (หลังจากนี้ ทุกๆสิ่งที่คุณจะทำ จะทำอย่างช้าๆทั้งหมด ยิ่งช้ายิ่งดี) หายใจเข้าและออกอย่างนี้จนกว่าคุณจะรู้สึกว่าเพียงพอ ไม่ต้องห่วงว่าจะเร็วหรือนานกว่าจะพอ แค่ทำไปเรื่อยๆ เวลาเป็นของคุณแล้ว สิ่งที่สำคัญในช่วงนี้ คือ คุณไม่ต้องพยายามเคลียร์จิตใจหรือห้วงความคิดให้โล่ง ใจคุณอยากจะคิดถึงอะไรก็ปล่อยใจไป ปล่อยให้คิดเรื่องนั้นไปเรื่องเดียว ไม่ใช่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เช่น ถ้าคุณฝึกในธรรมชาติ คุณอาจรู้สึกเหมือนกำลังมองไปรอบๆ ก็มองไปเถอะ รับรู้ถึงสิ่งที่เห็น ดอกไม้ ต้นหญ้าพลิ้วไสวตามสายลม เสียงนกร้อง เสียงแมลงที่บินไปบินมา หรือถ้าทำในห้องก็จะได้ยินเสียงเพลง และได้กลิ่นต่างๆที่เราจุดขึ้น เป็นต้น
5. เชื่อมต่อตัวเรากับธรรมชาติ – เมื่อมาถึงจุดนี้ จิตใจของคุณจะเริ่มสงบ และสงัด(หมายถึงเงียบ)ลงอย่างช้าๆ การหายใจก็จะถูกปรับระดับลงจนเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ต้องห่วงเรื่องหายใจเข้าหายใจออก เพราะนี่ไม่ใช่อาณาปานสติ) ให้ค่อยๆเปลี่ยนเรื่องที่คิด (การแทรกเรื่องที่กำลังจะบอกนี้เข้าไปในความคิดเดิมก็เป็นอีกไอเดียหนึ่งที่ค่อนข้างดี) ใช้จินตนาการของคุณให้เป็นประโยชน์ ให้จินตนาการและรู้สึกตามไปด้วยอย่างช้าๆ ว่าร่างกายของคุณเริ่มอ่อนตัวลง ไม่ใช่ของแข็งอย่างที่เป็น มันค่อยๆละลายลงจนคล้ายเป็นของเหลว กำแพงที่กั้นระหว่างจิตของคุณกับธรรมชาติก็ค่อยๆละลายลงด้วย (ลองนึกถึงไอศกรีมหรือเยลลี่ที่ใส่จานไว้ในห้องและค่อยๆละลายอย่างช้าๆ เรากำลังละลายแบบนั้นแหละครับ) ให้รู้สึกว่าเรากำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบข้างอย่างช้าๆ (ในช่วงนี้หลายๆคนจะมีปัญหาละลายไม่ได้ อย่าท้อครับ วันนี้ไม่ได้ วันหลังก็ได้ ปกติกำแพงอันนี้มักจะหนามากนะครับ สำหรับการหลอมครั้งแรกอาจจะยากหน่อย)
6. ซึมซับพลังชีวิตเพื่อหลอมรวมกับธรรมชาติ – เมื่อมาถึงจุดนี้ จิตและร่างกายของคุณจะผ่อนคลายมากขึ้น และเป็นธรรมชาติมากขึ้น จากนั้นนึกภาพพลังชีวิตในธรรมชาติกำลังส่องแสงเปล่งประกายระยิบระยับแวววาว ซึมซาบอยู่ทั่วไปทั้งในอากาศและในพื้นดินใต้ตัวคุณ ให้รู้สึกถึงพลังงานเหล่านี้ ที่กระจายอยู่ทั่วไปในธรรมชาติรอบๆตัวคุณ พลังเหล่านี้ ไหลเวียนเปลี่ยนผ่านเข้ากับพลังจากร่างกายและจิตของคุณ โดยพลังชีวิตที่ส่องแสงเรืองรองเหล่านั้น จะถูกสูดเข้าไปตามลมหายใจ ลงสู่ปอด เข้าสู่ท้อง และซึมทราบ กระจายไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย และไหลผ่านออกมาทางรูขุมขนทั่วร่าง จุดหลักๆที่จะสามารถรู้สึกถึงการไหลเวียนของพลังชีวิตเหล่านี้ได้ดีคือ ที่จักรที่ 7 (บนกระหม่อม) ฝ่ามือ และฝ่าเท้า (พลังชีวิตจะไหลเวียนนะครับ เข้าและออก ไม่ใช่หยุดนิ่งสะสมอยู่ที่ใดที่หนึ่ง หรือจุดเหล่านี้) คุณจะรู้สึกว่ากายและจิตของคุณเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมากขึ้นเมื่อมาถึงจุดนี้ (หลายๆคนมักจะหลับสนิทไปในช่วงนี้แหละครับ ซึ่งไม่ต้องกังวลครับ ถึงอย่างไร เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว คุณก็ได้รับประโยชน์ไปมากแล้วล่ะครับ)
7. ซึมซับพลังชีวิตเพื่อกายและจิต – ทำต่อเนื่องจากข้อที่ 6 นะครับ แต่หลังจากนี้ ให้จินตนาการและรู้สึกว่า พลังชีวิตยังคงไหลเข้ามาในร่างกายของเราตลอดเวลา แต่ซึมออกนอกร่างกายน้อยลงเรื่อยๆ จนไม่ซึมออกอีกต่อไป ไหลเข้าอย่างเดียวจนเติมเต็มทุกส่วนสัดของกายและจิต ซึมทราบไปทั่วทุกอณูของร่าง เต็มปริ่มอยู่ที่รูขุมขนโดยไปรั่วไหลออกไปไหน ในช่วงนี้ เราจะรู้สึกว่าร่างกายและวิญญาณของเรากำลังเปล่งแสงเรืองรอง เนื่องจากมีพลังชีวิตจากธรรมชาติไหลซ่านมาหล่อเลี้ยงจนอิ่มเอิบไปทั่ว
8. เก็บกักพลังชีวิต – หลังจากร่างกายของคุณเริ่มส่องสว่างจากแสงแห่งพลังชีวิตแล้ว ให้คุณค่อยๆจินตนาการถึงเกราะหรือกำแพงที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เป็นกำแพงที่บางและงดงามกว่าตอนแรกมาก ซึ่งเราจะสามารถเปิดกำแพงนี้ออกเมื่อไรก็ตามที่ต้องการติดต่อกับธรรมชาติอีกครั้ง ในช่วงนี้ ร่างกายที่อ่อนเหลว ก็ให้จินตนาการว่ามันค่อยๆกลับเป็นของแข็ง เป็นตัวตนของคุณอีกครั้งหนึ่ง โดยเก็บกักพลังชีวิตที่ส่องแสงเรืองรองไว้ภายใน หลังจากนั้น ให้จินตนาการว่า แสงเหล่านั้น ค่อยๆรวมตัวเข้าหากัน เป็นลูกบอลแห่งแสงที่เจิดจ้าอยู่ในร่างกายบริเวณจักรที่4 หรือ Solar plexus (อยู่ที่ท้อง บริเวณกึ่งกลางระหว่างสะดือและลิ้นปี่) ค่อยๆเก็บมันไว้ในร่างกายของคุณโดยจินตนาการว่าบอลนี้ค่อยๆมืดลงจากการถูกห่อหุ้มปกคลุมด้วยร่างกายที่เป็นของแข็งของคุณ นับแต่นี้ไป บอลแห่งแสงนี้จะถูกเก็บอย่างดีและปลอดภัยภายในร่างกายของคุณจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องการใช้มันอีกครั้ง
9. รวมพลัง – สำหรับการฝึกครั้งต่อๆไป ในช่วงที่ 5 ช่วงที่เรากำลังละลายนั้น ให้เราเห็นและรู้สึกถึงบอลแห่งแสงที่ค่อยๆถูกเผยออก และกระจายออกสู่ทุกส่วนสัดของร่างกาย ก่อนจะหลอมรวมและกลมกลืนกับพลังชีวิตในธรรมชาติในช่วงที่ 6
ให้ฝึกตามแบบฝึกนี้เมื่อใดก็ตามที่คุณมีเวลา และสามารถฝึกได้ คุณสามารถฝึกได้ทุกวันโดยไม่เกิดผลเสีย (ดีด้วย) ไม่ต้องกังวลหากคุณไม่สามารถทำมันได้อย่างสมบูรณ์ทุกครั้ง เพราะคุณอาจจะเผลอหลับไปซะก่อน คุณจะไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน เพราะอย่างน้อย คุณก็จะสามารถหลับได้อย่างสนิทและลึก ซึ่งเป็นการพักผ่อนที่ดีมาก คุณจะรู้สึกได้ถึงความสดชื่นเมื่อตื่นขึ้นหลังจากนั้น เพราะคุณได้พักผ่อนร่างกายและจิตอย่างเต็มที่นั่นเอง ผมขอแนะนำให้ผู้ที่ต้องการฝึก ปรินท์รายละเอียดออกไปอ่านและทำความเข้าใจถึงขั้นตอนต่างๆอย่างละเอียดก่อน ไม่ใช่ทำๆอยู่แล้วต้องตื่นขึ้นมาอ่าน เพราะนอกจากจะไม่เกิดผลแล้ว อาจส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตได้
มีคำกล่าวไว้ว่า “The methods used to predict the future are as many and varied as leaves on the trees” วิถีแห่งการพยากรณ์นั้นมีมากมายและหลากหลายราวกับใบไม้บนหมู่แมกไม้
การเลือกซื้อคริสตัลมาใช้
ในการเลือกบอลที่จะนำมาใช้นั้น ควรเลือกชนิด สี ขนาด และรูปร่าง ตามความพอใจของผู้ใช้เป็นหลัก ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวในส่วนนี้เช่นกัน ข้อแนะนำสำหรับผู้ไม่มีประสบการณ์ในการใช้บอลที่ทำจากหินธรรมชาติ คือ พยายามใช้สีที่ดูแล้วสบายตา ไม่ฉูดฉาดเกินไป และเมื่อสัมผัส ตัวท่านเองจะรู้สึกได้ว่า บอลลูกนั้นใช่หรือไม่
หลังจากที่เราซื้อคริสตัลบอลมาแล้ว ให้พยายามตรงกลับบ้านทันที ล้างบอลด้วยน้ำสะอาด และสบู่เหลวเจือจาง (อาจผสมเกลือทะเลเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของหิน) หลังจากนั้น ใช้ผ้าสะอาดชิ้นเล็กเช็ดให้แห้ง ไม่ต้องถูนะครับ เวลาล้างควรจับให้มั่น เพราะหินส่วนใหญ่จะลื่น อาจทำตกเสียหายได้ หลังจากนั้น ลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมเบาๆให้ทั่ว แต่ไม่ต้องมากนัก น้ำมันจันทน์ หรือน้ำมันจากอำพันก็เป็นทางเลือกที่ดี
การมองคริสตัลบอลและการพยากรณ์
ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ว่าเราสามารถมองคริสตัลบอลได้ในหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้พยากรณ์ สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ จากการทดลองฝึกปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้น ไม่มีใครสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัวได้
การตั้งคำถาม
คำถามส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่ หลังจากสามารถมองเห็นภาพต่างๆได้ดีพอสมควรแล้ว การฝึกตั้งคำถามในใจ จะช่วยให้การฝึกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในช่วงแรกของขั้นตอนนี้ ให้คิดถึงบุคคลหรือสถานที่ อันเป็นที่รู้จักหรือกำลังต้องการพบเจอไว้ในใจ ภาพที่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพลอยๆของบุคคลหรือสถานที่นั้น หรือเป็นภาพที่ไม่อาจแปลความหมายได้ ควรฝึกและทดลองตั้งคำถามในใจกับตัวเอง จนเกิดความคล่องแคล่วชำนาญ สามารถตั้งคำถามได้ตามความต้องการของจิตใจ สามารถมองภาพต่างๆได้สมบูรณ์ชัดเจนดี และมีความมั่นใจในความสามารถของตนเองอย่างมั่นคงดีแล้ว จึงสามารถออกทำนายให้แก่ผู้อื่นได้ สิ่งที่ควรจำก็คือ การขาดความเชื่อมั่นในพลังและความสามารถของตนและความกังวลหรือประหม่า จะทำให้คุณไม่สามารถใช้พลังของตนเองและของธรรมชาติได้
การพยากรณ์ให้แก่ผู้อื่น
ให้ทำทุกอย่างตามขั้นตอนที่ได้ฝึกมา (ตอนฝึกอาจจะนานมาก แต่เมื่อเกิดความชำนาญ ขั้นตอนการเตรียมตัวเข้าสู่การพยากรณ์จะใช้เวลาน้อยลง) ให้ผู้รับการทำนายอังมือไว้เหนือคริสตัลบอลสักครู่ พร้อมกับทำใจให้สงบ ตั้งสมาธิถึงสิ่งที่เขาต้องการทราบแล้วจึงเริ่มการทำนาย โดยอธิบายถึงสิ่งที่เราเห็นให้แก่ผู้มารับการทำนาย แต่ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า อย่าทำนายให้แก่ผู้ใด จนกว่าเราจะมั่นใจในพลังและความสามารถของตน ความประหม่าและกังวลจะนำไปสู่ความผิดพลาดอย่างร้ายแรงในอนาคต อันจะทำให้เราเสื่อมเสียชื่อเสียงได้
"Angel of Life, my guardian dear.
To whom sweet love commits me here.
Ever this day be at my side,
to light and guard, to rule and guide."